ประวัติความเป็นมาของวอลล์สตรีท

วอลล์สตรีทเป็นชื่อที่คุ้นหูสำหรับใครหลายคน โดยเฉพาะในแง่ที่เป็นศูนย์กลางทางการเงินที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ความสำคัญของที่นี่ไม่ได้หยุดอยู่แค่ในอเมริกาเท่านั้น แต่มันยังส่งผลกระทบไปถึงเศรษฐกิจโลกในหลายแง่มุมอีกด้วย แต่คุณเคยสงสัยไหมว่าถนนสายนี้มีจุดเริ่มต้นมายังไง ทำไมมันถึงได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของการเงินและการลงทุนระดับโลก ผมเองก็เคยตั้งคำถามแบบนี้เหมือนกัน และยิ่งได้ศึกษา ก็ยิ่งพบว่าเรื่องราวของวอลล์สตรีทนั้นเต็มไปด้วยความน่าสนใจ ทั้งจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ที่ไม่ซับซ้อน ไปจนถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ทำให้ที่นี่เป็นอย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน

เรื่องราวเริ่มต้นตั้งแต่ในยุคที่นิวยอร์กยังไม่ใช่นิวยอร์กด้วยซ้ำ ในตอนนั้นอาณานิคมดัตช์ชื่อว่านิวอัมสเตอร์ดัมได้สร้างกำแพงขึ้นมาเพื่อป้องกันภัยคุกคามจากอังกฤษและชนพื้นเมืองในช่วงศตวรรษที่ 17 และกำแพงนี้เองที่กลายมาเป็นที่มาของชื่อ "Wall Street" ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นต่อจากนั้น เช่น การค้าทาส การรวมตัวของกลุ่มนายหน้า และการก่อตั้งตลาดหลักทรัพย์ ล้วนเป็นส่วนหนึ่งที่หล่อหลอมให้วอลล์สตรีทมีความสำคัญในปัจจุบัน วันนี้ผมจะพาคุณย้อนเวลากลับไปสำรวจว่าทำไมวอลล์สตรีทถึงกลายมาเป็นหัวใจของเศรษฐกิจโลกแบบทุกวันนี้

จุดเริ่มต้นของชื่อวอลล์สตรีท

ถ้าจะพูดถึงจุดเริ่มต้นจริง ๆ ของวอลล์สตรีท เราต้องย้อนกลับไปในช่วงศตวรรษที่ 17 ซึ่งในปี 1653 ผู้ว่าการอาณานิคมดัตช์ในตอนนั้นชื่อว่า ปีเตอร์ สตุยเวซันท์ (Peter Stuyvesant) ได้สั่งให้สร้างกำแพงขึ้นเพื่อป้องกันภัยคุกคามจากชนพื้นเมืองและอังกฤษ กำแพงนี้ทำจากไม้และมีความสูงประมาณ 10 ฟุต ตั้งอยู่บริเวณขอบเขตตอนเหนือของอาณานิคมดัตช์ ซึ่งในตอนนั้นยังมีชื่อว่า "นิวอัมสเตอร์ดัม" ตอนนั้นนิวยอร์กยังไม่ได้ชื่อนี้ด้วยซ้ำ แต่มันถูกเรียกว่า “นิวอัมสเตอร์ดัม” เพราะอยู่ภายใต้การปกครองของชาวดัตช์ ผู้ว่าการอาณานิคมดัตช์ในเวลานั้นสั่งให้สร้างกำแพงขึ้นมาบริเวณขอบเขตทางตอนเหนือของอาณานิคมเพื่อป้องกันชนพื้นเมืองอเมริกันและภัยคุกคามจากอังกฤษ กำแพงนี้เองที่กลายเป็นจุดกำเนิดของชื่อ "Wall Street" เพราะทางเดินเลียบกำแพงยังคงใช้ชื่อนี้แม้ว่ากำแพงจะถูกรื้อไปในปี 1699 แล้ว

กำแพงนี้ไม่ได้สูงมาก ประมาณ 10 ฟุต ทำจากไม้ และในตอนนั้นก็ถือว่าใหญ่พอสมควรจนถูกบันทึกลงในแผนที่ยุคศตวรรษที่ 17 แต่ที่น่าสนใจคือ กำแพงนี้ป้องกันแค่ด้านเหนือ แต่ไม่ได้ป้องกันทางใต้ ซึ่งกลายเป็นจุดอ่อนใหญ่จนทำให้อังกฤษสามารถยึดอาณานิคมนี้ได้ในปี 1664 จากนั้นชาวอังกฤษก็เปลี่ยนชื่อเมืองจากนิวอัมสเตอร์ดัมเป็นนิวยอร์กตามชื่อดยุกแห่งยอร์ก

Content Cover

การค้าทาสและความมืดมิดในประวัติศาสตร์วอลล์สตรีท

ช่วงเริ่มต้นของวอลล์สตรีทไม่ได้มีแค่ความเจริญรุ่งเรืองด้านการค้าเท่านั้น แต่มันยังเต็มไปด้วยเรื่องราวที่สะเทือนใจ ในปี 1665 สภานิติบัญญัติของอังกฤษในนิวยอร์กได้ผ่านกฎหมายที่ทำให้การค้าทาสถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสังคมในยุคนั้น ทาสชาวแอฟริกันถูกใช้งานอย่างหนักในงานก่อสร้าง รวมถึงการสร้างกำแพงที่กลายเป็นชื่อวอลล์สตรีทในเวลาต่อมา การผ่านกฎหมายนี้ยังเป็นจุดเริ่มต้นของการจัดระเบียบตลาดค้าทาส โดยในปี 1711 สภานิวยอร์กได้กำหนดให้ปลายถนนวอลล์สตรีทเป็นตลาดค้าทาสอย่างเป็นทางการ ที่นั่นไม่เพียงแต่มีการซื้อขายทาส แต่ยังมีการให้เช่าทาสเพื่อทำงานในพื้นที่ต่าง ๆ ด้วย เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นถึงด้านมืดของประวัติศาสตร์ที่วอลล์สตรีทมีบทบาทสำคัญในระบบเศรษฐกิจที่ไม่เป็นธรรมในยุคนั้น ตั้งแต่สมัยที่ดัตช์ปกครอง พวกเขาได้นำชาวแอฟริกันที่ถูกกดขี่มาทำงานในนิวยอร์ก ซึ่งรวมถึงการสร้างกำแพงที่วอลล์สตรีทด้วย พออังกฤษเข้ามาแทน ระบบทาสยังคงอยู่และขยายตัวต่อเนื่อง

ในปี 1711 สภาท้องถิ่นนิวยอร์กออกกฎหมายให้วอลล์สตรีทเป็นตลาดค้าทาสอย่างเป็นทางการ ตลาดนี้ไม่ได้แค่ซื้อขายคนเท่านั้น แต่ยังมีบริการให้เช่าทาสอีกด้วย บริเวณนี้ถูกเรียกว่า "ตลาดข้าว" (Meal Market) เพราะนอกจากทาสแล้วก็ยังมีการขายสินค้าเกษตรอย่างข้าวด้วย ตลาดนี้ดำเนินการอยู่ถึงปี 1762 ถึงจะปิดตัวลง แต่รอยแผลจากระบบทาสในยุคนั้นยังคงเป็นสิ่งที่คนรุ่นหลังต้องจดจำ

วอลล์สตรีทกลายเป็นศูนย์กลางการเงินได้ยังไง

หลังจากยุคค้าทาส วอลล์สตรีทเริ่มเปลี่ยนบทบาทมาเป็นศูนย์กลางการเงิน จุดเปลี่ยนที่สำคัญคือข้อตกลง Buttonwood Agreement ในปี 1792 ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อกลุ่มนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ 24 คนมารวมตัวกันใต้ต้นไม้ Buttonwood ที่ปลายถนนวอลล์สตรีท และลงนามในข้อตกลงเพื่อกำหนดกฎเกณฑ์การซื้อขายหลักทรัพย์ในกลุ่มเฉพาะ ข้อตกลงนี้ไม่เพียงแต่เป็นจุดเริ่มต้นของระบบตลาดหลักทรัพย์ แต่ต้นไม้ Buttonwood เองยังกลายเป็นสัญลักษณ์ของข้อตกลงดังกล่าวด้วย จุดเริ่มต้นสำคัญเกิดขึ้นในปี 1792 เมื่อกลุ่มนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ 24 คนมารวมตัวกันและลงนามในข้อตกลงที่ชื่อว่า "Buttonwood Agreement" ที่ใต้ต้นไม้ Buttonwood บริเวณปลายถนนวอลล์สตรีท ข้อตกลงนี้มีเป้าหมายเพื่อควบคุมการซื้อขายหลักทรัพย์ และกำหนดให้การซื้อขายเป็นเรื่องเฉพาะกลุ่มเท่านั้น

ในยุคนั้น นายหน้าเหล่านี้เริ่มจัดตั้งระบบค่าคอมมิชชั่นและกำหนดกฎเกณฑ์ต่าง ๆ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง แม้ว่าจะเริ่มต้นแบบเล็ก ๆ แต่พวกเขามีความทะเยอทะยานที่จะพัฒนาตลาดให้เป็นระบบมากขึ้น และในปี 1817 ก็ได้จัดตั้ง "New York Stock and Exchange Board" ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (NYSE) ที่เรารู้จักในทุกวันนี้

การแข่งขันและการเติบโตของตลาดหลักทรัพย์

แม้ตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กจะก่อตั้งขึ้น แต่ในยุคแรก ๆ ก็ยังไม่ได้เป็นที่หนึ่งของอเมริกานะ ในตอนนั้น ตลาดหลักทรัพย์ฟิลาเดลเฟียเป็นศูนย์กลางการเงินที่สำคัญกว่า เนื่องจากมีระบบการจัดการที่แข็งแกร่งกว่า อย่างไรก็ตาม สงครามปี 1812 เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ เพราะส่งผลให้ฟิลาเดลเฟียประสบปัญหาทางเศรษฐกิจ ขณะที่นิวยอร์กกลับเติบโตขึ้นจากการที่เมืองนี้เป็นท่าเรือสำคัญสำหรับการค้า นอกจากนี้ นายหน้าจากนิวยอร์กยังได้ส่งตัวแทนไปศึกษาวิธีการบริหารของฟิลาเดลเฟียและนำแนวทางเหล่านั้นมาปรับใช้ เช่น การจัดตั้งระบบค่าคอมมิชชั่นและการควบคุมตลาดเพื่อเพิ่มความโปร่งใส ความพยายามเหล่านี้ทำให้นิวยอร์กค่อย ๆ แข่งขันและดึงดูดนักลงทุนได้มากขึ้น จนสามารถแซงหน้าฟิลาเดลเฟียในที่สุด เพราะในช่วงนั้นตลาดหลักทรัพย์ฟิลาเดลเฟียถือว่าใหญ่กว่าและแข็งแกร่งกว่า อย่างไรก็ตาม สงครามปี 1812 ทำให้ฟิลาเดลเฟียประสบปัญหา ขณะที่นิวยอร์กเริ่มเติบโตขึ้น นายหน้าในนิวยอร์กได้ส่งตัวแทนไปศึกษาวิธีการบริหารของฟิลาเดลเฟีย และนำมาปรับปรุงการจัดการของตัวเอง จนในที่สุด ตลาดนิวยอร์กก็สามารถดึงดูดนักลงทุนได้มากขึ้น

การควบรวมกิจการในปี 1869 เป็นจุดสำคัญที่ช่วยให้ตลาดนิวยอร์กขยายตัวอย่างมาก การรวมตัวของตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (NYSE) กับ Open Board of Stock Brokers ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 1864 ช่วยเพิ่มจำนวนสมาชิกอย่างมหาศาลและยังส่งผลให้ปริมาณการซื้อขายพุ่งสูงขึ้น การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่เพียงแต่ทำให้โครงสร้างตลาดมีความแข็งแกร่งขึ้น แต่ยังช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับวอลล์สตรีทในฐานะศูนย์กลางทางการเงินที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกา ณ เวลานั้นด้วย ในปี 1869 ตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กได้รวมตัวกับ Open Board of Stock Brokers ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 1864 การรวมตัวครั้งนี้ช่วยเพิ่มปริมาณการซื้อขายและจำนวนสมาชิก ทำให้วอลล์สตรีทกลายเป็นศูนย์กลางการเงินที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกา

บทสรุปของวอลล์สตรีทในอดีต จากจุดเริ่มต้นที่เป็นเพียงกำแพงไม้เล็ก ๆ วอลล์สตรีทได้พัฒนามาเป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน แม้ว่าในประวัติศาสตร์จะมีช่วงเวลาที่มืดมนอย่างการค้าทาส แต่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่หล่อหลอมให้วอลล์สตรีทเป็นอย่างที่เราเห็นทุกวันนี้ การเติบโตของตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กไม่ได้เกิดขึ้นแค่เพราะความสามารถทางเศรษฐกิจ แต่ยังมาจากความพยายามในการปรับตัวและพัฒนาอย่างต่อเนื่องของคนรุ่นก่อน

ความคิดเห็น